ไทยคมยื่นรัฐหนุนเงินยิงดาวเทียมสำรอง
ไอซีทีเผยความคืบหน้าแก้สัมปทานดาวเทียมไทยคม ยืนผลสรุปตามมาตรา 22 ระบุเอกชนยินดีทำตามเงื่อนไขพร้อมยิงไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อ แทนไทยคม5
ไอซีที เผยความคืบหน้าแก้สัมปทานดาวเทียมไทยคม ยืนผลสรุปตามมาตรา 22 ระบุเอกชนยินดีทำตามเงื่อนไขพร้อมยิงไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจรเพื่อ แทนไทยคม 5 แต่ต้องใช้เงินค่าประกันจำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาร่วมสร้าง ส่วนผลแก้สัมปทานมือถือรับยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะคู่สัญญายืนยันไม่ได้เสียหาย
นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงความคืบหน้าของการเจรจาในการแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับสัญญาดาวเทียมไทยคม ตามผลสรุปของคณะกรรมการมาตรา 22 พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกชนร่วมการงานหรือดำเนินในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) ว่า แนวทางการแก้ไขใน 3 เรื่องหลักคือ 1.ให้ไทยคมคืนเงินประกันค่าสินไหมจำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐที่ได้จากกรณีที่ดาวเทียมไทยคม 3 เสียหาย และต้อง ปลดระวางก่อนกำหนดมาให้กระทรวงไอซีทีหลังมีการเจรจากลุ่มย่อย ตามที่ได้รับนโยบายจากนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที
โดยเรื่องนี้เอกชนเห็นว่าเงินจำนวนดังกล่าวยินดีที่จะคืนให้รัฐ แต่การสร้างดาวเทียมสำรองไทยคม 5 หรือไทยคม 6 ก็ต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าว ด้วยซึ่งกระทรวงการคลังก็จะต้องคืนให้กับไทยคมเหมือนเดิม เพราะการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ต้องใช้เงินหลัก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นงบที่ใกล้เคียง กับไทยคม 5
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คณะกรรรมการระหว่างไอซีที และวิศวกรจากไทยคม กำลังอยู่ระหว่างร่างสเปคไทยคม 6 ซึ่งหากจะใช้เงินลงทุนจำนวนดังกล่าว ก็ต้องมีการเสนอต่อนายจุติ รมว.ไอซีที หากมีการยุบสภาหรือเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ก็ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง
ส่วนประเด็นที่ 2.จะต้องมีการยิงดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ขึ้นสู่วงโคจร เนื่องจากไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 เพราะกฤษฎีกาได้ตีความแล้วว่าเป็นดาวเทียมดวงใหม่ และถือว่าเป็นดาวเทียมนอกสัมปทาน ซึ่งกรณีนี้ไทยคมยินดีที่จะส่งดาวเทียมไทยคม 6 เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองไทยคม 5 ที่สร้างขึ้นมาทดแทนไทยคม 3 ที่เสียไป และเป็นไปตามมติคณะกรรมการมาตรา 22และขณะนี้กระทรวงไอซีทีและไทย คมอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางด้านเทคนิค
ประเด็นที่ 3. กรณีบมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไทยคมลด สัดส่วนถือหุ้นจาก 51% เหลือ 40% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากครม.นั้น คณะกรรมการมาตร 22 สรุปว่าชินคอร์ปต้องกลับไปถือครองหุ้นในสัดส่วนเท่าเดิม คือ 51% ซึ่งเรื่องนี้เอกชนขอศึกษากฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยก่อน หากไม่ผิดกฎหมายชินคอร์ปก็ยินดีที่จะกลับมาถือในสัดส่วนเดิม
ส่วน การเจรจาการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของคู่สัญญาทั้ง 4 สัญญา คือ เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ ดิจิตอลโฟน และคู่สัญญาสัมปทานคือ ทีโอที และ กสท ทางคณะกรรมการได้สรุปผลการให้กับรมว.ไอซีทีไป เมื่อวันจันทร์ที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ผลการเจรจาหลักๆ เอกชนทั้ง 4 ราย ยังยืนยันตามแนวทางเดิมว่าดำเนินการถูกต้อง แต่ที่เห็นตรงกัน และเสนอต่อคณะกรรมการ คือ ต้องการให้แปลงสัญญาสัมปทานเป็นใบอนุญาต (ไลเซ่น) ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าอยู่เหนืออำนาจของคณะกรรมการเจรจา ต้องรอให้คณะกรรมการชุดใหม่ดำเนินการต่อ
เครดิต
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/it/20110504/389443/ไทยคมยื่นรัฐหนุนเงินยิงดาวเทียมสำรอง.html