ของผมลองใช้ DM800HDPVR กับจอ Plasma 42 นิ้ว ทดสอบดูช่อง SD ปกติกับช่อง HD ( NHK in intelsat 10) มองไม่เห็นความแตกต่างเรื่องความคมชัดครับ เลยไปหาอ่านข้อมูลต่าง ๆ มา ลองอ่านดูครับ
แล้วยังไง 720 หรือ 1080
1080i หรือ 1080p?
28/07/2010
View: 50
Edit TitleEdit Detail
บทความนี้ผมได้นำเอามาจาก dvdgameonline นะครับผม พอดีเห็นมีประโยชน์เลยเอามาให้อ่านกันมั่ง
Credits :
mrzane@dvdgameonline.comhttp://www.dvdgameonline.com/forums/index....=97543&st=0จากบทความ: 720 or 1080
1080i or 1080p?? Answers here
โดย: RUSirius
ที่มา:
http://boardsus.playstation.com/playstatio...27175#U27027175แปล/เรียบเรียงโดย: mrzane
อ้างอิง: กระทู้ คนที่ซื้อ Full HD ไปเนี่ยเสียตังฟรีหรือเปล่า โดยคุณ morigan -
http://www.dvdgameonline.com/forums/index....showtopic=83407---------------------------------------------------------
ผม (ผู้เขียน) เป็นวิศวกรด้านกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ งานของผมเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบโทรทัศน์, สัญญาณโทรทัศน์ (broadcast signal), สัญญาณความละเอียดสูง (HD signal) และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องทำงานคลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทุกๆ วัน ซึ่งทำให้ผมสามารถนำความรู้ส่วนหนึ่งมาช่วยตอบปัญหากระทู้ต่างๆ ตามเว็บบอร์ดหลายๆ แห่ง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ คนที่มีปัญหา หรือกำลังสนใจในเรื่องเหล่านี้
ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงถูกถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ผมจึงมีความคิดที่จะเขียนบทความขึ้นมาเพื่อตอบปัญหาเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นที่มาของบทความนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ...
ข้างบนนี้เป็นตัวอย่างของคำถามที่มีคนถามอยู่ตลอดเวลา... แต่ปัญหาก็คือ มันไม่มีคำตอบที่ตายตัวต่อคำถามเหล่านั้น เพราะคำตอบมันขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย และวิธีเดียวที่จะสามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้คือ การเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความแตกต่าง (ความแตกต่างทางเทคนิคของสัญญาณ HD ประเภทต่างๆ ผู้แปล) เอาล่ะ เรามาสนุกกันได้แล้ว
Section A: ความละเอียด (resolution)
สิ่งแรกที่คุณควรจะทำความเข้าใจคือ ความละเอียด (resolution) ของทีวีของคุณ เริ่มจากข้อเท็จจริงกันก่อนว่า HDTV ใหม่ๆ (microdisplay, LCD, DLP, LCoS, Plasma และ directview LCD) สามารถที่จะแสดงความละเอียดที่ 480 เส้น, 720 เส้น และ 1080 เส้น (เพิ่มเติม: HDTV ที่สนับสนุนระบบ PAL สามารถแสดงความละเอียดที่ 576 เส้นได้ด้วย ผู้แปล)
หลายๆ คนคงคิดว่า ใหญ่กว่า ย่อมดีกว่า (bigger is better)
ยิ่งทีวีความละเอียดสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะแสดงรายละเอียดบนภาพได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือความคิดนี้ใช้ไม่ได้เสมอไป เหตุผลก็คือ ยิ่งทีวีของคุณจอเล็กเท่าไหร่ ขนาดของจุดสี (pixel) ก็ยิ่งเล็กลงเท่านั้น และเมื่อขนาดของ pixel เล็กมากจนถึงระดับหนึ่ง คุณก็จะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความละเอียดที่สูงกว่า กับความความละเอียดที่ต่ำกว่าอีกต่อไป
เรามาดูตัวอย่างกันเถอะ สมมติว่าคุณกำลังอ่านบทความนี้บนจอยักษ์ขนาด 350 นิ้ว ถ้าคุณเดินเข้าไปใกล้เจ้าจอยักษ์ตัวนี้ แล้วก็มองไปที่ตัวอักษรตัวหนึ่ง สมมติว่าเป็นจุด (.) ก็แล้วกัน คุณจะเห็นว่า จุดจุดนี้ประกอบไปด้วย pixel หลายๆ pixel ที่เรียงชิดกันตามรูปภาพข้างล่าง
จากภาพจะสังเกตเห็นว่า เจ้าจุดนี้ดูสมประกอบ และมีรายละเอียดดี ซึ่งเมื่อนับจำนวนพิกเซลที่ประกอบเป็นเจ้าจุดนี้ จะนับได้ 20 พิกเซลพอดี
ทีนี้เรามาลองปรับลดความละเอียดบนจอ 350 นิ้วตัวเดิมลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเราเข้าไปมองใกล้ๆ ที่จุดตัวเดิม เราจะเห็นว่ามันกลายเป็นแบบนี้
ในภาพที่สอง จะสังเกตเห็นได้ว่า จุดจุดนี้มันดูไม่สมประกอบอีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่มีจำนวนพิกเซลเยอะพอที่จะประกอบกันเป็นจุดกลมๆ ได้ ซึ่งนี่ก็ดูเหมือนว่าทฤษฎี ยิ่งจอละเอียดเท่าไหร่ ภาพก็จะยิ่งดูดีเท่านั้น ตามที่ผมได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้จะถูกต้อง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิครับ เพราะเรากำลังเพ่งดูจุดที่ว่านี้ อย่างใกล้ชิด บนจอขนาด 350 นิ้ว
ทีนี้สมมติว่าคุณกำลังนั่งอ่านบทความนี้บนจอขนาด 19 นิ้ว เรามาลองดูจุดอีกจุดหนึ่งกันเถอะครับ ---> .
จุดที่คุณเห็นอาจประกอบไปด้วยเม็ดพิกเซลจำนวน 4 พิกเซล ขึ้นอยู่กับความละเอียดของหน้าจอคุณ (และความละเอียดที่คุณตั้งไว้ใน control panel ผู้แปล) ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าคุณปรับความละเอียดของหน้าจอเพิ่มขึ้นอีกให้เป็น 38928282 x 38928282 คุณจะเห็นความแตกต่างของจุดที่ว่านั่นหรือไม่?... ไม่เห็นใช่ไหมครับ? ถึงแม้ว่าเมื่อคุณปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น และความละเอียดนี้จะทำให้จุดที่ว่านี้ประกอบไปด้วยเม็ดพิกเซลจำนวน 100 เม็ด คุณก็จะไม่เห็นความแตกต่างของมัน ยังไงจุดที่ประกอบไปด้วย 4 พิกเซล ก็จะดู เหมือนกันทุกประการ กับจุดที่ประกอบไปด้วย 100 พิกเซล จริงอยู่ว่ารายละเอียดเล็กๆ อาจจะหายไป แต่ด้วยขนาดจอที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้ตาของคุณไม่สามารถบอกความแตกต่างของจุดขนาด 4 พิกเซลกับจุดขนาด 100 พิกเซลได้โดยการดูด้วยจอขนาด 19 นิ้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้การที่ทีวีที่เป็นแบบ 720 เส้น จะแสดงภาพที่ดูดีพอๆ กับทีวีที่เป็น 1080 เส้นได้ จะต้องขึ้นอยู่กับขนาดของทีวีเอง ยิ่งถ้าทีวีมีขนาดเล็ก และขนาดพิกเซลเล็กลงเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หายไปได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสายตาของคนมอง, ขนาดของจอ กับ ระยะห่างระหว่างจอกับผู้ชมด้วย กราฟต่อไปนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความละเอียดของจอ (resolution) กับระยะการชม (viewing distance) และขนาดของทีวี
เมื่อพิจารณาจากกราฟข้างบน สมมติว่าคุณกำลังจะซื้อจอ HDTV ขนาด 40 นิ้ว... วิธีเดียวที่คุณจะสามารถบอกความแตกต่างระหว่างความละเอียด 1080p กับ 720p คือการนั่งดูทีวีที่ระยะ 5 ฟุตหรือใกล้กว่านั้น ถ้าคุณซื้อจอขนาด 50 นิ้ว ระยะที่เหมาะสมก็จะเป็น 7 ฟุต, จอขนาด 60 นิ้ว ก็จะเป็น 7.5 หรือ 8 ฟุต เพราะฉะนั้น ถ้าคุณซื้อ HDTV มานั่งชมในห้องนั่งเล่นที่ระยะรับชมปกติของคนส่วนใหญ่ คุณจะไม่ได้รับประโยชน์จากความละเอียด 1080p เลย
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ ซึ่งผมต้องการจะกล่าวก่อนที่เราจะไปคุยเรื่องเกี่ยวกับ Interlace และ Progressive คือ...
ผมได้ยินหลายๆ คนพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ผมมีทีวีรุ่น xxx พอผมปรับเป็น 1080i แล้วภาพสวยขึ้นกว่า 720p อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในเกือบทุกกรณีที่คนเหล่านี้จะเห็นความแตกต่างระหว่าง 720p กับ 1080i และนี่คือเหตุผล...
(เพิ่มเติมจากผู้แปล: ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงทีวีแบบ 480p/720p ที่สามารถรับสัญญาณแบบ 1080i ได้)
ถ้าคุณมีทีวีแบบที่เป็น microdisplay (DLP, LCD, LCoS หรือ Plasma และ directview LCD) ซึ่งรับสัญญาณได้สูงสุดที่ 1080i ทีวีเหล่านี้เกือบทั้งหมดจะสนับสนุนความละเอียดสูงสุดที่ 720p เท่านั้น หลายๆ คนอาจจะเถียงผมว่า เหลวไหล!... ผมตั้งทีวีของผมที่ความละเอียด 1080i มาตลอด ... ใช่แล้วครับ คุณสามารถตั้งความละเอียดที่ 1080i ได้เพราะว่าทีวีของคุณมันรองรับความละเอียดดังกล่าวได้ แต่ปัญหาก็คือ หน่วยประมวลผลภายในทีวีของคุณมันทำงานที่ความละเอียด 720p เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าสัญญาณ 1080i ที่คุณป้อนเข้าไปให้กับทีวี จะถูกประมวลผลและลดขนาด (downscale) ให้เป็น 720p เพื่อให้แสดงบนหน้าจอได้ เพราะฉะนั้นการสลับไปมาระหว่าง 1080i กับ 720p จึงไม่มีผลกับคุณภาพของภาพที่แสดงบนจอ แต่ภาพแบบ 1080i จะมี motion artifact ซึ่งจะทำให้มันดูแย่กว่า (ผมจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน Section B)
สำหรับบางคนที่มีโทรทัศน์แบบ CRT และเถียงอย่างสุดใจขาดดิ้นว่าจอของท่านแสดงภาพ HD ได้สวยงามกว่าจอแบบ xxx เสียอีก ผมขออธิบายตรงนี้ว่าจอ CRT เหล่านี้สามารถรับสัญญาณ HD ได้จริง แต่มันไม่สามารถแสดงภาพที่ความละเอียดตามสัญญาณที่คุณป้อนเข้าไปแน่ๆ (ตามข้อจำกัดของหน่วยประมวลผลภายใน และความละเอียดจริงของหน้าจอในย่อหน้าที่แล้ว ผู้แปล) ที่คุณมองเห็นว่าภาพที่ออกมาดูดีกว่าเมื่อคุณป้อนสัญญาณ HD เข้าไปนั้น เป็นเพราะหลักการ loss of detail ครับ
Loss of detail เป็นหลักการเดียวกับที่ช่างภาพใช้ในการถ่ายรูปคนด้วยเลนส์/ฟิลเตอร์แบบ soft focus มานานปี เนื่องจากว่าองค์ประกอบต่างๆ ของใบหน้าคน (รวมถึงความไม่สมบูรณ์แบบต่างๆ บนใบหน้า ผู้แปล) เมื่อถ่ายรูประยะใกล้ออกมาจะดูไม่ดีนัก ช่างภาพจึงต้องใช้ soft focus ทำให้ภาพที่ออกมาได้ดูมัว (blur) เล็กน้อย เพื่อให้ภาพที่ออกมาดูสวยงาม หลักการเดียวกันนี้ได้ถูกนำมาใช้กับจอแบบ CRT เช่นเดียวกัน โดยการใช้วิธีการ blur และ softening เพื่อทำให้สัญญาณภาพที่ไม่ค่อยดีนักดูดีขึ้นมาได้ ถ้าคุณเปรียบเทียบภาพที่ได้จากจอ CRT กับภาพ HD อย่างแท้จริงแล้วคุณจะมองเห็นความแตกต่างอย่างแน่นอน
ในอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้ว่าทีวีคุณจะรับรองรับสัญญาณ 1080i แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแสดงผลที่ความละเอียดนั้น ความละเอียดที่แท้จริงที่ทีวีคุณแสดงออกมาคือ 720p
หัวข้อถัดไปคุณควรจะทำความเข้าใจ คือเรื่องความแตกต่างระหว่างภาพแบบ Interlace กับแบบ Progressive มาอ่านกันเถอะครับว่าเป็นยังไงบ้าง
Section B: Interlaced vs. Progressive
ก่อนจะเข้าเรื่อง Interlace และ progressive คุณควรทำความเข้าใจในเรื่อง frame rate เสียก่อน เรามาเริ่มกันด้วยตัวเลขวิเศษกันเถอะครับ เลขที่ว่านั้นคือ 60 ครับ
บางท่านอาจจะพอทราบมาบ้าง ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ทีวี) ส่วนใหญ่ทำงานที่ 60 เฮิร์ท ความถี่ของคลื่นไซน์ของไฟฟ้ากระแสสลับคือ 60 Hz หรือ 60 รอบต่อวินาที (เพิ่มเติมจากผู้แปล: ความถี่ที่ผู้เขียนกล่าวถึง เป็นความถี่ของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ที่ใช้ไฟ 110v, 60Hz. ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าแบบ 220v, 50Hz)
ด้วยเหตุผลนี้ ทีวี NTSC จึงอัพเดทภาพบนหน้าจอด้วยความถี่ 60 ครั้งต่อวินาที พูดง่ายๆ คือ ทีวีของคุณจะแสดงภาพ 60 ภาพในเวลา 1 วินาที
ทีนี้สมมติว่าคุณมีสัญญาณภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ประกอบไปด้วยเส้นแนวนอน 4 เส้น ถ้าสัญญาณนั้นเป็นสัญญาณแบบ Progressive มันก็จะถูกวาดบนทีวีแบบนี้ครับ:
1: ---------------------------------------
2: ---------------------------------------
3: ---------------------------------------
4: ---------------------------------------
เส้นแต่ละเส้น จะถูกวาดบนจอเรียงตามลำดับ จากเส้นที่ 1 ไปจนถึงเส้นที่ 4 และจะถูกวาด 60 ครั้งต่อ 1 วินาที ซึ่งภาพแต่ละภาพนี้เราเรียกว่า เฟรม (frame)
อย่างไรก็ดี ถ้าสัญญาณภาพข้างต้นเป็นแบบ Interlace มันจะถูกวาดแบบนี้ครับ:
1: ---------------------------------------
3: ---------------------------------------
ตามด้วย
2: ---------------------------------------
4: ---------------------------------------
ทุกๆ ตำแหน่งที่ 1 ใน 60 ของหนึ่งวินาที (1/60th second) การวาดภาพแรกจะเริ่มขึ้นที่การวาดเส้นที่ 1 กับ 3 ก่อน หลังจากนั้นจึงวาดเส้นที่ 2 กับ 4 โดยกระบวนการนี้จะกินเวลาไปถึงตำแหน่งที่ 30 (1/30th second) หลังจากนั้น เส้นที่ 1 กับ 3 จะถูกวาดซ้ำอีก และถัดมาก็วาดเส้นที่ 2 กับ 4 อีกครั้ง และดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พูดง่ายๆ คือ แทนที่จะวาดทุกเส้นเรียงกันไปเรื่อยๆ เหมือนกับสัญญาณ progressive ทีวีของคุณจะวาด เส้นเว้นเส้น แทน การวาด 2 ครั้งประกอบกันจึงกลายเป็นภาพ 1 ภาพ โดยครึ่งหนึ่งของภาพเราจะเรียกว่า field ซึ่งเมื่อนำ field 2 field มาประกอบกันจะทำให้ได้เป็นภาพที่สมบูรณ์ เราจะเรียกว่า frame (เพิ่มเติมโดยผู้แปล: 1 frame ประกอบไปด้วย 2 fields ฉะนั้น ใน 1 วินาที ทีวีแบบ NTSC จะวาดภาพทั้งหมด 60 fields หรือ 30 frames นั่นเอง)
หลังจากเข้าใจหลักการของ Interlace และ Progressive แล้ว เรามาคุยกันต่อถึงเรื่องสัญญาณ ATSC (มาตรฐานสัญญาณ HDTV ของสหรัฐอเมริกา
http://en.wikipedia.org/wiki/Atsc ผู้แปล) ซึ่งถูกกำหนดไว้ถึง 18 มาตรฐานด้วยกัน แต่ผมจะยกตัวอย่างเฉพาะมาตรฐานหลักๆ เท่านั้น
- 720p เป็นมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยเส้นสัญญาณจำนวน 720 เส้น โดยทำงานบน frame rate ที่ 60 frames ต่อวินาที ซึ่งหมายความว่าจะมีการวาด 720 เส้น (ตามลำดับ) ในทุกตำแหน่งที่ 1/60th ของวินาที
- 1080i เป็นมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยเส้นสัญญาณจำนวน 1080 เส้น ทำงานบน FIELD rate ที่ 60 fields ต่อวินาที 1 frame ประกอบไปด้วย 2 fields ฉะนั้นใน 1 วินาที จึงแสดงภาพได้ 30 frames (ตามหลักการ interlacing ทุกๆ field จะใช้เวลา 1/60th วินาทีในการวาดภาพครึ่งหนึ่ง และ field จำนวน 2 fields จะถูกวาดในตำแหน่งที่ 1/30th ของวินาที และ 2 fields ที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดการ รวม เข้าด้วยกันเป็นภาพเดียว (1 frame) ด้วยสายตาของเราเอง
- 1080p ก็เช่นเดียวกัน เป็นมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยเส้นสัญญาณจำนวน 1080 เส้น โดยทำงานบน frame rate ที่ 60 frames ต่อวินาที ซึ่งหมายความว่าจะมีการวาด 1080 เส้น (ตามลำดับ) ในทุกตำแหน่งที่ 1/60th ของวินาที
ด้วยมาตรฐานทั้ง 3 มาตรฐานที่ผมกล่าวมา หลายๆ คนอาจจะมองว่า 1/60 วินาทีนั้นเร็วมาก... เร็วกว่าที่ตามนุษย์จะสังเกตเห็นได้ ถึงแม้ว่าแต่ละ field จะประกอบไปด้วยภาพแค่ครึ่งเดียว แต่ field เหล่านั้นก็จะถูก รวม เข้าด้วยกันเป็นภาพโดยตาและสมองของเรา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความแตกต่างระหว่าง interlace กับ progressive สิ?
ที่กล่าวข้างต้น จะถูกต้องได้ในกรณีที่คุณดูภาพนิ่งเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือ ส่วนใหญ่แล้วเราคงไม่ได้เอาทีวีมาดูภาพนิ่งแน่ๆ และด้วยความที่ภาพบนทีวีเป็น ภาพเคลื่อนไหว นั่นเอง ที่ทำให้การแสดงภาพแบบ interlace มีปัญหาขึ้น
.
ปัญหาดังกล่าวเรียกว่า motion artifacting ลองนึกภาพดูว่า สมมติว่าเรามีรูปกล่องสี่เหลี่ยมรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังเคลื่อนที่จากด้านซ้ายไปทางด้านขวาของจอ ผมจะขอตัดเฉพาะภาพ ณ ตำแหน่ง 1/30th ของวินาทีที่ 1 มาแสดงให้ดู
ถ้าจอที่คุณใช้เป็นแบบ progressive ที่ตำแหน่ง 1/30th วินาทีจอของคุณจะแสดง frame ทั้งหมด 2 frames ซึ่งภาพที่แสดงจะเป็นดังนี้ (เพื่อให้สังเกตได้ง่าย ผู้เขียนได้แสดงภาพกล่องสี่เหลี่ยมดังกล่าวด้วยเส้นจำนวน 4 เส้น ที่กำลังเคลื่อนที่ไปทางขวาของหน้าจอ ผู้แปล)
จากภาพข้างบน คุณจะเห็นว่ากล่องสี่เหลี่ยมดูเรียบร้อยดี และการเคลื่อนไหวของกล่องก็เป็นไปอย่างราบรื่นจากซ้ายไปขวา
ทีนี้มาดูการแสดงภาพกล่องใบเดียวกันด้วยวิธีแบบ interlace กัน ณ ตำแหน่งที่ 1/30th วินาทีเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นการแสดงแบบ interlace ทำให้ตอนนี้ภาพต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 fields แทนที่จะเป็น 2 frames เหมือนกับแบบ Progressive เมื่อกล่องนี้มีการเคลื่อนไหว ภาพที่แสดงจะเป็นดังนี้
ถ้าสังเกตดู จะพบว่าการเคลื่อนไหวของกล่องจะเป็นเหมือนกับการเคลื่อนไหวแบบ progressive ที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้ว และความเร็วของการเคลื่อนไหวก็เป็นความเร็วเท่ากับกล่องที่เคลื่อนไหวแบบ progressive อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าในการแสดงผลแบบ interlace จะต้องใช้ฟิลด์จำนวน 2 ฟิลด์ในการสร้างเฟรมขึ้นมา 1 เฟรม เพราะว่าฟิลด์ 1 ฟิลด์นั้นภาพแค่ครึ่งเดียว และเมื่อนำมาประกอบกับฟิล์ดถัดไปแล้ว สายตาและสมองของเราจะรวมทั้ง 2 ฟิลด์เข้ามาเป็นภาพเอง นั่นหมายความว่า ณ เวลาที่ 1/30th ของการแสดงเฟรมที่ 2 ภาพที่เราเห็นบนจอจะเป็นแบบนี้
เริ่มเห็นแล้วใช่มั้ยครับ ทีนี้สมมติว่ากล่องถูกเลื่อนไปทางขวาอีกนิดนึง (ประมาณ 2 เฟรม) ภาพที่ได้ก็จะเป็นแบบนี้
เราจะเห็นว่ากล่องสี่เหลี่ยมที่วิ่งจากซ้ายไปขวาของหน้าจอจะดูไม่เรียบเหมือนกับการแ
สดงแบบ progressive โดยเฉพาะตรงขอบของกล่องที่ไม่เรียบเอาซะเลย ตรงนี้ล่ะครับที่เราเรียกว่า motion artifacting นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการแสดงผลแบบ interlace ถึงไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับวีดีโอเกม
Section C: สรุป
ด้วยสิ่งที่ผมได้กล่าวถึงในบทความข้างต้น คุณคงพอจะทราบแล้วว่าทำไมการเลือก resolution ที่เหมาะสมมันจึงขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร และหลายๆ องค์ประกอบ
--------------------------------------------------------------
จบแล้วครับผม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ :love
Pnz Comment : ซื้อ 32 นิ้วแล้วจะ 1080p ไปทำซากอะไรครับ?