(ยกสองมือทำขนาดสิงโต)ใหญ่กว่านี้เราเลี้ยงไม่ไหว
พร้อมกับเสียงหัวเราะร่วนของ"ผู้แพ้"วันนี้ ซึ่งอาจจะแฝงนัยยะว่าแกรมมี่กำลังวางแผนจะพลิกเกมมาเป็น"ผู้ชนะ"ใน Platform War ของธุรกิจโทรทัศน์ในวันข้างหน้าได้ไม่ยาก
เมื่อสถานการณ์ของธุรกิจนี้กำลังอยู่ในภาวะ"เกมเปลี่ยน"ทุกวัน ไม่มีใครจะเป็น"ผู้ชนะ"ตลอดกาลและไม่มีใคร"ผูกขาด"ธุรกิจนี้ได้อีกต่อไป
"ทรูวิชั่นส์"จะไม่ใช่"เคเบิลทีวีระดับชาติ"ในระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่รายเดียวอีกต่อไป เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกำลังจะออกใบอนุญาติผู้ให้บริการ"โครงข่าย"โทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกที่ไม่จำกัดจำนวนอีกต่อไป
"ฟรีทีวี 6 ช่อง"ที่เป็นทีวีภาคพื้นดินแบบอนาล็อกจะไม่ใช่"ช่องโทรทัศน์หลัก"ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อจำนวนครัวเรือนไทยที่ใช้"เสาอากาศ"ดูทีวีได้ 6 ช่อง
ได้เหลือน้อยลงแค่ประมาณ 36 % ในขณะที่ครัวเรือนที่ติดตั้งจานดาวเทียมและเคเบิลทีวีทุกระบบที่สามารถดูทีวีได้มากกว่า 200 ช่องมีสัดส่วนมากถึง 64 %
รวมทั้งการประมูลดิจิทัลทีวีที่เป็นระบบทีวีภาคพื้นดินแบบดิจิทัลอีก 24 ช่องธุรกิจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 และอาจจะมากถึง 50 ช่องภายใน 5 ปีข้างหน้า
"เคเบิลทีวีท้องถิ่น"ที่เดิมเป็นแค่ผู้เล่นในระดับภูธรเฉพาะท้องถิ่นกำลังจะกลายเป็น"ยักษ์ใหญ่เคเบิลทีวีระดับชาติ"ที่มีบริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด( CTH )
เจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในอีก 3 ปีข้างหน้าเป็นแกนในการ"รวมเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้เป็น" One Network , One Platform
ตามแผนธุรกิจ 5 ปีของการก่อตั้ง CTH ที่เริ่มต้นจากผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นกว่า 150 แห่งถือหุ้นใหญ่แม้ว่าต่อมาจะเหลือ 30 %
ชัยชนะของ CTH ในการประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของ"วิชัย ทองแตง"ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่บอกว่า
"เครียดที่สุดตอนตัดสินใจเสนอตัวเลขรอบสองที่สูงมากกว่าเดิมเยอะเพื่อให้ห่างจากคู่แข่งมากกว่า 30 % ซึ่งไม่ได้ใช้การคำนวณตัวเลขอะไรมากนัก
แต่ใช้"กัสท์ฟิลลิ่ง"ของนักธุรกิจที่มีสไตล์กล้าได้กล้าเสีย มุ่งมั่นจะลงทุนทำธุรกิจโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกผ่านเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้ผงาดขึ้นมาแข่งกับทรูวิชั่นส์ให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ภารกิจของ CTH นับจากนี้จะต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อสร้างและลงทุนในการเป็นเจ้าของ"แพลทฟอร์ม"จริงๆในการกำหนด"เกม"ให้ได้จริงๆในแผนระยะยาว
มิเช่นนั้น CTH จะไม่มีเงินจ่าย"ค่าลิขสิทธิ์"กว่า 10,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าที่จะต้องจ่ายให้กับ EPL ถือเป็น"โจทย์หิน-การบ้านยาก"มากๆ
เมื่อเทียบกับระยะเวลาการเริ่มฤดูกาลใหม่ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในเดือนพ.ค.ปี 2556
โดยความเป็นจริงแล้ว สถานะปัจจุบันของ CTH ยังเป็นเพียงแค่"บริษัทขายส่งคอนเทนท์"ที่มีเคเบิลทีวีท้องถิ่นประมาณ 150 รายถือหุ้นประมาณ 30 %
แต่ CTH ยังไม่ได้มีสิทธิ์หรือมีสมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่นเป็นของตัวเอง แม้แต่"หนึ่งสมาชิก"
ผู้บริหาร CTH มักอ้างถึงการมีฐานสมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่น 3.5 ล้านครัวเรือน น่าจะเป็นเพียง"ตัวเลขอ้างอิง"ของคนดู"ช่องรายการจากCTH"
ผ่านทางเคเบิลทีวีท้องถิ่นประมาณ 500 สถานีที่ CTH ไม่ได้เป็นเจ้าของแต่อย่างใดและการวางเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า
เป็น 7 ล้านครัวเรือนก็เป็น Mission Impossible ที่เป็นโจทย์ยากมากๆ เพราะตัวเลขสมาชิกเคเบิลทีวีหยุดนิ่งและถดถอยมาในช่วง 2-3 ปีที่จานดาวเทียมเฟื่องฟู
แต่อาจจะเป็นไปได้ ถ้า CTH มีการลงทุนจริง 20,000 ล้านเพื่อเปลี่ยน"โครงข่าย"เคเบิลทีวีท้องถิ่น 500 สถานีให้โครงข่ายไฟเบอร์ออฟติค
ยกระดับเป็น One Network , One Platform ตามแผนธุรกิจ ทำให้เคเบิลท้องถิ่นจากระบบโครงข่ายอนาล็อกที่เป็นข้อจำกัดจำนวนช่องออกอากาศได้ไม่เกิน
80ช่องให้เป็นโครงการ Digital Cable TV ที่มีช่องเพิ่มเป็น 150-200 ช่องได้และยังได้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เข้าถึงบ้านสมาชิกอีก
CTH คิดแผนธุรกิจนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำมากนัก แต่ทรูวิชั่นส์อยู่ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มาเกินกว่า 10 ปี
มีการลงทุนวางสายไฟเบอร์ออฟติในกรุงเทพและปริมณฑลเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ รวมทั้งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ได้เข้าไปลงทุนวางสายไฟเบอร์ออฟติคใน 30 กว่าจังหวัดที่มีฐานกำลังซื้อสูงที่สามารถให้บริการแบบเคเบิลทีวีและอินเทอร์เน็ต
ธุรกิจแบบทริปเปิลเพลย์ที่ผู้บริหาร CTH พูดย้ำหลายครั้งว่าเป็นแผนงานหลักในอนาคต แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
กลุ่มทรูถือเป็นยุทธศาสตร์ที่มีการหลอมรวม Convergence เนื้อหาและบริการมาหลายปีแล้ว ระหว่างสมาชิกทรูวิชั่นให้บริการเคเบิลทีวี,
ดูทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์,ดูทีวีผ่านมือถือทรูมูฟและก้าวไปไกลกว่าผู้ประกอบการมือถือรายอื่นๆกับโครงข่าย CDMA
ที่ยกระดับบริการ 3G ไปล่วงหน้าหลังเข้าไปเช่าใช้จากบริษัท กสท. จำกัด(มหาชน) ก่อนจะประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์
ข้อต่อสำคัญของ CTH เพื่อก้าวกระโดดเข้ามาให้บริการทริปเปิลเพลย์ให้เป็นแพลทฟอร์มหลักผ่านโครงข่ายเคเบิลทีวีท้องถิ่น
ที่มีฐานสมาชิก 2.4 ล้านครัวเรือน (อ้างอิงจากผลสำรวจของเนลสัน) ด่านหินมากๆของ CTH จะทำอย่างไรไม่ให้"เจ้าของเคเบิลทีวีท้องถิ่น
"เกิดความรู้สึกว่าพวกเขากำลังสูญเสีย"อธิปไตย"บนโครงข่ายใหม่ที่ CTH เสนอจะร่วมลงทุนหรือลงทุนให้
พวกเขาหวงแหนธุรกิจนี้อย่างยิ่งเพราะได้ลงทุนและบากบั่นต่อสู้อุปสรรคมานานกว่า 20 ปีจนเติบใหญ่มาขนาดนี้ ยากจะปล่อยให้ CTH
เข้าไปถือหุ้นใหญ่หรือกลายเป็นเจ้าของโครงข่ายหรือเปลี่ยนสถานะของเคเบิลท้องถิ่นกลายเป็น"ลูกข่าย"หรือรับ"แฟรนไชส์"
แบรนด์ช่องรายการจาก CTH ยกเว้นกรณีฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่มีความน่าสนใจมากกว่าช่องรายการ 16 ช่องที่ CTH เคยเสนอขายให้เคเบิลท้องถิ่นที่เสียงตอบรับน้อยมาก
ช่องทางรายได้ของ CTH ไม่น่าจะมาจากการขายเหมา"ช่องพรีเมียร์ลีก"ให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นที่คงน้อยเกินไป แต่น่าจะมาจากการเจรจาเพื่อขอ
"ส่วนแบ่ง"รายได้จากการ Top Up ราคาค่าสมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่น 300 บาทต่อเดือน หากสมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่นต้องการช่องรายการพรีเมียร์ลีก 8 ช่อง
สมมุติ CTH เสนอ Top Up ค่าสมาชิกอีกรายละ 200 บาทต่อเดือน แล้วลงทุนเปลี่ยน"กล่องรับสัญญาณ"ให้เคเบิลท้องถิ่นได้สัก 1 ล้านบ้าน
เท่ากับว่าจะมีรายได้เดือนละ 200 ล้านบาท หากแบ่ง 50/50 เท่ากับว่า CTH จะมีรายได้จากค่าสมาชิกเดือนละ 100 ล้านบาท
แต่การเสนอลงทุนกล่องรับสัญญาณแบบดิจิทัลเคเบิลน่าจะเป็น"ต้นทุน"ของ CTH ไม่ใช่เคเบิลทีวีท้องถิ่นที่ไม่มีทางยอมลงทุนเอง
สมาชิกของทรูวิชั่นที่ส่วนใหญ่เป็นระบบจาน KU-Band น่าจะเป็น"เป้าหมายสำคัญ"ที่ CTH จะต้องหาทางให้เปลี่ยนมาเป็นสมาชิกของ CTH
ในระบบ KU-Band น่าจะง่ายกว่าให้บอกรับสมาชิกแบบสายเคเบิลที่ทรูวิชั่นส์ล้มเหลวมาแล้ว
เท่าที่มองเห็นช่องทางหรือแพลทฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบันน่าจะเหลือแค่"จานเหลือง"ที่ใช้ระบบ KU-Band เหมือนกับทรูวิชั่นส์ ขอคาดเดาว่า
CTH น่าจะกำลังเจรจากับบริษัท DTV ที่เป็นบริษัทลูกของบริษัทไทยคมเจ้าของดาวเทียม เพื่อขอ Top Up ช่องรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
เข้าไปอีก 8 ช่องเพื่อเสนอบริการแบบ Pay Per View ให้ลูกค้าจานดาวเทียม DTV ที่มีอยู่มากกว่า 1 ล้านจาน
Business Model สูตรนี้น่าจะ WIN-WIN ทุกฝ่ายและชีวิตของCTH ง่ายกว่าการหาทางเข้าไปสวมโครงข่ายของเคเบิลทีวีท้องถิ่น
ที่มีผู้ประกอบการกว่า 500 สถานี เพราะ DTV คุยกับเจ้าของรายเดียวคือไทยคมที่มีกลุ่มเทมาเส็กถือหุ้นใหญ่ที่มองรายได้เป็นหลักและ CTH ก็ไม่ได้เข้ามาเป็นเจ้าของแพลทฟอร์ม DTV
CTH มีแพลทฟอร์มที่ไม่ต้องลงทุนสร้างใหม่สำหรับขายช่องพรีเมียร์ลีกได้ทันที ขึ้นอยู่กับข้อเสนอและราคาค่าสมาชิกหรือแบบ Pay Per View
ช่องพรีเมียร์ลีกว่าจูงใจให้เลิกเป็นสมาชิกทรูวิชั่นส์หรือไม่
DTV มี"ช่องพรีเมียร์ลีก"ที่เป็นคอนเทนท์เกรดเอมาให้ลูกค้าเพิ่มจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นช่องทีวีดาวเทียมที่เป็น Free to Air ไม่ใช่ Exclusive Content
แล้ว DTV ยังได้ส่วนแบ่งรายได้มาชดเชยกำไรจากค่าจานดาวเทียมที่แข่งขันกันจนเหลือน้อยนิด
THAICOM มีลูกค้ารายใหญ่ CTH มาเช่าทรานสปอนเดอร์ดาวเทียมไทยคมอีกไม่น้อยกว่า 8 ช่องพรีเมียร์ลีกและในอนาคตทาง CTH
น่าจะเพิ่มช่องรายการอีก จากเดิมทรูวิชั่นเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในระบบ KU-Band
AIS น่าจะได้ช่องรายการพรีเมียร์ลีกให้กับลูกค้าโทรศัพท์มือถือในระบบ 3 G ที่สามารถคิดค่าบริการจากลูกค้าได้
เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือทรูมูฟที่มีคอนเทนท์จากทรูวิชั่นส์ดูได้บนมือถือ
ช่องทางรายได้ของ CTH จากลิขสิทธิ์บอลพรีเมียร์ลีก 2-3 ช่องทางนี้ น่าจะเป็นช่องทางหลักที่เป็นกอบเป็นกำเป็นฐานรายได้ค่าสมาชิก
ที่มีเสถียรภาพพอจะคืนทุนได้บ้างในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกเหนือจากรายได้โฆษณาในช่องฟรีทีวี,ค่าลิขสิทธิ์นำไปเผยแพร่ต่อในช่องทางต่างๆที่ไม่ง่ายจะจัดเก็บจากรายย่อยๆ
สตอรี่ใหม่ของ CTH ในการก้าวพ้นจากบริษัทขายคอนเทนท์แบบพื้นๆในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนมาโดยตลอด น่าจะทำให้เพิ่ม
"มูลค่า"ราคาหุ้นที่ยังเหลืออีก 20 % ที่เคยจะขายให้แกรมมี่ในราคาพาร์จะมีราคาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า และสร้างโอกาสระดมเงินทุน
จากตลาดหุ้นได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกก้อนแรกที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท
สตอรี่นี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับ"วิชัย ทองแตง"ที่เป็นเซียนตลาดหุ้นขั้นเทพอยู่แล้ว
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/re-think/20121125/479509/พรีเมียร์ลีก:เกมเปลี่ยน(2)-บอลฝั่ง-CTH-แต่เล่นยาก.html